อาหารบำรุงสมอง

อาหารบำรุงสมอง

ส่วนที่สำคัญที่สุดของร่างกายก็คงหนีไม่พ้นระบบประสาทส่วนกลาง ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมส่วนต่างๆของร่างกาย ทำหน้าที่จัดเก็บความจำ ประมวลในเรื่องความคิด การพูด การได้ยิน และอื่นๆ ซึ่งถ้าเซลล์ที่ทำงานในส่วนเกิดมีปัญหาขึ้น ก็จะทำให้ไม่สามารถที่จะควบคุมร่างกายในส่วนประสาท และกล้ามเนื้อ

วัยที่ต้องการสารอาหารมากที่สุดก็คือวัยเด็ก ที่จะต้องได้รับสารอาหารต่างๆเพื่อไปพัฒนาร่างกาย ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ วัยที่ต้องการสารอาหารมาช่วยซ่อมแซม ก็คือวัยชรา เพื่อช่วยป้องโรคอัลไซเมอร์ และโรคที่เกิดจากความเสื่อมโทรมของร่างกายอื่นๆ นอกจากวัยเด็กและวัยชราแล้ว วัยอื่นๆก็ต้องการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย สารอาหารที่ดีและมีประโยชน์เหล่านั้น จะช่วยให้ระบบและอวัยวะต่างๆของร่างกายดำเนินไปอย่างเป็นปกติ

โภชนาการและการบำบัดแบบธรรมชาติ

  • รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายให้ครบ 5 หมู่ ครบถ้วนทั้ง 3 มื้อในหนึ่งวัน เพื่อให้สาอาหารร่างกายได้รับไปช่วยบำรุงเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย
  • กินปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เพราะปลามีกรดโอเมก้า -3 ที่มีส่วนประกอบของ EPA และ DHA ช่วยในเรื่องการบำรุงสมอง และยังโดยค้นพบว่าช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดโรคขี้หลงขี้ลืม และโรคความจำเสื่อม
  • วิตามินบี 6 มีหน้าที่ควบคุมการทำงานของสมอง และสร้างสารเซดรโทนิน (Serotonin) ซึ่งพบมากในข้าว ถั่ว ตับ แคนตาลูป กะหล่ำปลี ข้าวโอ๊ต ถั่วลิสง ถั่ววอลนัต และไข่
  • โพแทสเซียม ตัวช่วยที่ทำให้สมองปลอดโปร่ง เนื่องจากเป็นแร่ธาตุที่ช่วยส่งออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง นอกจากนี้ยังช่วยให้มีความคิดและความจำดีอีกด้วย พบมากในกล้วย มะละกอ ปลา นม เนย
  • อาหารที่อุดมด้วยสังกะสี ก็ยังเป็นอีกหนึ่งตัวที่ช่วยบำรุงสมอง กระตุ้นการทำงานของเซลล์สมองและช่วยรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับสมอง
  • แมงกะนีส เป็นสารอาหารที่ช่วยควบคุมสมองให้ระบบประสาทให้ทำงานสัมพันธ์กับกล้ามเนื้อ พบมากในถั่วลิสง ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ไข่แดง ตับ อาหาทะเล องุ่น กล้วย ส้ม แอปเปิ้ล และผักใบเขียว
  • อาหารที่มีแร่ซีลีเซียม มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ป้องกันโรคความจำเสื่อมได้แก่ ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง อาหารทะเล กระเทียม บร็อกโคลี หอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ
  • อาหารทะเล เนื้อปลา ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ผักใบเขียวเข้ม เพราะมีแร่แม็กนีเซียมมาก ซึ่งช่วยให้มีความจำดี
  • วิตามินบี 12 พบมากในตับสัตว์ เครื่องในสัตว์ ปลา ไข่ นม เนย ช่วยเพิ่มความจำและสมาธิ

วิตามินเสริม

  • วิตามินบี 1 ช่วยให้สมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และบำรุงระบบประสาท ควรกินวันละ 30-50 มิลลิกรัม
  • โคลีน (Choline) ควรกินวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม ป้องกันโรคอัลไซเมอร์และเพิ่มความจำ
  • วิตามินบี 12 ช่วยส่งเสริมให้สมองเกิดสมาธิ ความจำดี ควรกินวันละ 50-1,000 ไมโครกรัม

*หมายเหตุ* การกินวิตามินควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจมีผลข้างเคียง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง ไขมันสูง เช่น ไขมันจากสัตว์ น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว
  • ลดกากินอาหารที่มีรสจัดมาก เช่นอาหารเค็ม อาหารหวาน น้ำตาล เกลือ ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งกลิ่น สี และรส รวมทั้งอาหารที่ใส่ผงชูรส
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มมึนเมา

ข้อแนะนำ

  • ฝึกสมองด้วยการเล่นเกมเสริมเชาว์ปัญญา
  • หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะอลูมิเนียมในการปรุงอาหาร
  • สำหรับผู้ใหญ่ ควรหลีกเลี่ยงยาลดกรดซึ่งเป็นสารที่ยับยั้งการดูดซึมสารอาหารที่ไปบำรุงสมอง สำหรับเด็กควรกินอาหารที่มีวิตามินและแร่ธาตุจากอาหารโดยตรง

ริดสีดวงทวาร

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร
เกิดจากเส้นเลือดดำบริเวณทวารหนักไหลเวียนไม่สะดวก ทำให้เส้นเลือดบีบตัวจนเป็นเส้นเลือดขอด เกิดการอุดตันจนกลายเป็นริดสีดวงในที่สุด ปัจจัยที่ทำให้เกิดริดสีดวงทวาร ได้แก่ ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกบ่อย ความอ้วน และการตั้งครรภ์ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นเหตุทำให้ริดสีดวงทวาได้ทั้งนั้น

อาการ
1. ระยะเริ่มแรกจะขับถ่ายลำบาก อุจจาระแข็ง
2. มีอาการคันหรือเจ็บบริเวณช่องทวารหนัก
3. หากจับบริเวณช่วงทวารหนักจะพบกับก้อนเนื้อเล็กและแข็งยื่นออกมา ซึ่งก้อนเนื้อดังกล่าวอาจจะขยายใหญ่ได้
4. เวลาขับถ่ายมักจะมีเลือดปนมากับอุจจาระและเจ็บบริเวณก้อนเนื้อดังกล่าว

โภชนาการและแบบธรรมชาติ
– เปลี่ยนการกินข้าวขาวมาเป็นข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือจะผสมข้าวขาวกับข้าวกล้องในแต่ละมื้อ เพื่อให้การขับถ่ายดีขึ้น
– เพิ่มการกินอาหารที่มีไฟเบอร์ กากใยอาหาจากผักผลไม้ให้ได้ครึ่งหนึ่งของอาหารในแต่ละมื้อ จะทำให้อุจจาระอ่อนตัวขึ้นจะขับถ่ายสะดวก
– เน้นการกินอาหารที่มีวิตามินซีและวิตามินบี แหล่งอาหารที่พบ ได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม ธัญพืช แครอต กีวี่ ส้ม แอปเปิล ลูกพรุน เบอรรี่ เป็นต้น
– เลือกกินอาหารไขมันที่ดีจากพืช น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง แทนอาหารประเภทไขมันอิ่มตัวจากสัตว์
– กินอาหารที่มีธาตุเหล็ก เช่น เนื้อวัว เนื้อหมู ตับสัตว์ ถั่ว ผักใบเขียว หน่อไม้ฝรั่ง ธัญพืช ช่วยลดการสูญเสียเลือดอันเนื่องมาจากริดสีดวง

วิตามินเสริม
– วิตามินบี 2 ควรกินวันละ 100-300 มิลลิกรัม ช่วยให้ผนังหลอดเลือดแข็งแรง
– วิตามินซี ควรกิน 500 มิลลิกรัม – 2 กรัมต่อวัน เพื่อช่วยรักษาแผลจากริดสีดวงให้หายเร็วขึ้น และช่วยให้ผนังเส้นเลือดฝอยแข็งแรง
หมายเหตุ การกินวิตามินเสริมควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจมีผลข้างเคียง

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง
– ลดการกินอาหารเผ็ดร้อน เครื่องเทศ เช่น กระเทียม พริกไทย พริก ขิง หัวหอม แม้แต่แกงเผ็ดหรือน้ำพริกก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน
– หลีกเลี่ยงการกินอาหารไขมันสูงจากสัตว์ และอาหารทอด
– ลดการกินแป้งที่ผ่านกระบวนการขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว
– จำกัดการอื่มแอลกอฮอล์ให้น้อยลง
– กาแฟ ช็อกโกแลต โกโก้ น้ำอัดลม เป้นเหตุให้มีอาการคันและเจ็บริดสีดวง

ข้อแนะนำ
– สตรีมีครรภ์ไม่ควรกินวิตามินซีโดยพละการ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
– เมื่อเป็นริดสีดวง ควรหาทางรักษาทันที
– อย่ารบกวนริดสีดวงด้วยการใช้กระดาษชำระแข็งๆ เช็คหลังจากขับถ่ายเสร็จ
– ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
– พยายามอย่าปล่อยให้ท้องผูกอยู่บ่อยๆ เพราะนั่นเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดโรคริดสีดวงทวาร ซึ่งเป็นโรคที่น่ารำคาญและสร้างความเจ็บปวดทรมานแก่ผู้ที่เป็น นอกจากนี้ถ้าผู้ป่วยมีอาการหลอดเลือดแตกตัวจะทำให้เสียเลือดจนเสี่ยงต่อการเกิดภาวะโลหิตจางได้

มะเร็งต่อมลูกหมาก

สาเหตุของโรคนี้ยังไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเกิดขึ้นจากสิ่งใด แต่มีข้อบ่งชี้ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้อง ดังนี้

  1. อายุ มักจะพบในผู้ชายที่มีอายุเกิน 40 ปีขึ้นไป
  2. กรรมพันธุ์ ผู้ชายที่มีประวัติว่าในครอบครัวเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก จะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคนี้มากกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติ
  3. อาหาร มีงานวิจัยระบุว่า ผู้ชายที่กินอาหารไขมันสูงจากสัตว์ และเนื้อแดง มีโอกาสต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมากมากกว่าผู้ที่กินอาหารไขมันต่ำ

มะเร็งต่อมลูกหมาก

มะเร็งต่อมลูกหมาก เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกาย และเกิดปฏิกิริยาออกซิเจน มาทำลายเยื่อหุ้มเซลล์ จนเซลล์เกิดการผิดรูปไปจากเดิม จนกลายเป็นเนื้อร้ายในบริเวณต่อมลูกหมาก ส่งผลให้ต่อมลูกหมากโตขึ้นผิดปกติ

 

อาการ

  • เริ่มแรกจะยังไม่ปรากฏอาการใดๆ จนกว่ามะเร็งจะเริ่มเติบโตและต่อมลูกหมากมีขนาดใหญ่ขึ้น
  • ผู้ป่วยเริ่มมีปัสสาวะบ่อยขึ้น ปัสสาวะลำบาก ปวดในที่ปัสสาวะ หรืออาจจะมีเลือดปนออกมา บางรายอาจจะปัสสาวะไม่ออก
  • เมื่อหลั่งอสุจิจะมีอาการปวด
  • หากมะเร็งลุกลาม จะทำให้มีอาการปวดหลัง ปวดสะโพก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด

 

โภชนาการและการบำบัดตามธรรมชาติ

  • กินผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองให้มากขึ้น อาทิ เต้าหู้ นมถั่วเหลือง
  • กินผัก ผลไม้สดทุกมื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามิน แร่ธาตุ โดยเฉพาะสารต้านทานอนุมูลอิสระ
  • กินอาหารที่อุดมด้วยแร่สังกะสี เช่น อาหาทะเล หอยนางรม เมล็ดฟักทอง กระเทียม และถั่วต่างๆ
  • อาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เช่น แครอท ฟักทอง บร็อกโคลี มะละกอ ป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง
  • เลือกกินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืช ข้าวขาวเมล็ดยาว ข้าวซ้อมมือ
  • เพิ่มปริมาณการกินกระเทียม หัวหอม หอมหัวใหญ่ ต้นหอม ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ถั่ว มีส่วนช่วยต้านมะเร็ง
  • ดื่มน้ำเปล่า วันละ 8-10 แก้ว
  • ออกกำลังกาย วันละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ช่วยรักษาระดับฮอร์โมน ทำให้ร่างกายแข็งแรง

 

วิตามินเสริม

  • วิตามินซี ควรกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน ลดการเกิดโรคมะเร็ง (ไม่ควรกินเกิน 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน จะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกาย)
  • วิตามินอี ควรกิน 40 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยนำพาออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงเซลล์ และช่วยรักษาระบบสืบพันธุ์ให้เป็นปกติ
  • ซีลีเนียม ควรกิน 03-0.2 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานขจัดพิษในร่างกาย
  • สังกะสี ควรกิน 15 มิลลิกรัมต่อวัน มีความสำคัญต่อระบบสืบพันธุ์ชายและควบคุมระดับฮอร์โมน ทำให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดีตามปกติ

*หมายเหตุ* การกินวิตามินควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจมีผลข้างเคียง

 

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยง

  • ลดอาหารที่มีไขมันสูง ไขมันจากสัตว์ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร้งต่อมลูกหมากเพิ่มขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการกินน้ำตาลในปริมาณมาก
  • ลดการกินอาหารเค็มๆ
  • หลีกเลี่ยงอาหารใส่สี อาหารใส่สารกันบูด อาหารแต่งกลิ่น อาหารฟาสต์ฟู้ด
  • ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน น้ำอัดลม

 

ข้อแนะนำ

  • ห้ามสูบบุหรี่ เนื่องจากทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยลง
  • ผู้ป่วยควรใส่ใจเรื่องอาหารการกิน และการออกกำลังกายให้มากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการของโรค
  • ความเครียดทำให้โรคมะเร้งเติบโตได้ดี จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียดด้วยการออกกำลังกายและพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ผู้ป่วยควรปฏิบัติและรับการรักษาเคร่งครัด
  • การกินวิตามินเสริม ไม่ควรรับเกินที่กำหนดไว้ เพราะจะส่งผลเสียต่อร่างกาย